- 09.30 น. พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 6-7 เคาน์เตอร์ Pสายการบินเคแอลเอ็ม รอยัลดัชแอร์ไลน์ (KLM Royal Duch Airlines -KL) เจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน12.15 น. ออกเดินทางสู่สนามบินนานาชาติสคิปโฮล อัมสเตอร์ดัม (Schiphol Amsterdam Airport) เที่ยวบินที่ KL876 (1215-1820)ใช้เวลาบินประมาณ 12.10 ชม.18.20 น. เดินทางถึงสนามบินสคิปโฮล อัมสเตอร์ดัม นำท่านเช็คอินพักผ่อนที่โรงแรม Mercure Schiphol Terminal ภายในสนามบิน (กรุณาเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้าค้างที่โรงแรมในสนามบิน 1 คืน ส่วนกระเป๋าใบใหญ่จะเช็คตรงไปที่โบโกต้า)ค่ำ อิสระอาหารค่ำพักผ่อนที่โรงแรม Mercure Schiphol Terminal --- (1)
ทัวร์อเมริกาใต้ - โคลอมเบีย เอกวาดอร์ เวเนซูเอลา เกาะกาลาปากอส
ทัวร์
อเมริกาใต้
ระยะเวลา
18 วัน
สายการบิน
วันเดินทาง
สอบถาม
Hilight
ทัวร์แอนเดียนลาตินอเมริกา ทัวร์เทือกเขาแอนดีส ตามรอยกลุ่มประเทศตามแนวเทือกเขาแอนดีส เทือกเขาที่ทอดตัวยาวที่สุดในโลก ทัวร์หมู่เกาะกาลาปากอส ชมธรรมชาติงดงามและสมบูรณ์ที่สุดในโลกได้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น พิเศษสุด เดินทางกับโกลบอล ฮอลิเดย์มีส่วนลดพิเศษ
ทัวร์แอนเดียนลาตินอเมริกา ทัวร์อเมริกาใต้ ไปกับโกลบอล ฮอลิเดย์ ขอนำทุกท่านทัวร์เทือกเขาแอนดีส เยือนโคลอมเบียและเวเนซุเอล่า ต่างเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศแตกต่าง แม้จะทอดยาวไปตามชายฝั่งทะเลแคริบเบียน แต่ก็มีทิวเขาสูงๆ ต่ำ พาดผ่านเป็นแนวกระดูกสันหลัง ภูมิอากาศจึงเป็นแบบร้อนชื้นและเย็นสบาย
ภูมิประเทศทั้งสองแบบนี้สะท้อนออกทางประชากร คนภูเขาส่วนใหญ่เป็นพวกเมสติโซ (Mestizo) หรือลูกครึ่งยุโรปกับอินเดียน ส่วนแถบชายฝั่งจะเป็นพวกผิวดำและมูลัตโต (Mulatto) หรือลูกครึ่งผิวขาวกับผิวดำ ซึ่งสืบ
เชื้อสายมาจากพวกทาสที่ถูกขนย้ายมาจากแอฟริกา วิถีชีวิตในแถบชายฝั่งจะเชื่อง
ช้าเฉื่อยชาตามสภาพอากาศแบบเมืองร้อน ต่างกับเมืองในแถบภูเขาที่จังหวะชีวิต
จะจริงจังและขมีขมันยิ่งกว่า การขุดหาทองคำในอดีตทำให้โคลอมเบียเป็นประเทศที่
วุ่นวายที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาใต้ เอกวาดอร์ ตั้งอยู่บริเวณที่เส้นศูนย์สูตรพาดผ่าน จึงได้รับการตั้งชื่อตามภาษาสเปนว่า “Ecuador” ซึ่งก็ตรงกับ "Equator" ในภาษาอังกฤษ เชิญสัมผัสอีกหนึ่งเมืองในอเมริกาใต้ เมืองหลวงกีโต้ (Quito) เมืองสำคัญที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานลึกซึ้ง ที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดในแถบละตินอเมริกา จึงถูกจัดเป็นพื้นที่ที่ทรงคุณค่าแห่งหนึ่งในมรกดกโลกขององค์การยูเนสโก้ และเป็นหนึ่งในเมืองที่แนะนำให้ท่องเที่ยวในปี 2013 จากหนังสือเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค ประเทศนี้มีอำนาจอธิปไตยเหนือ หมู่เกาะกาลาปากอส ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ ไปทางทิศตะวันตก 965 กิโลเมตร ระยะทางที่ห่างไกลจากผืนแผ่นดินใหญ่ ทำให้เกาะแห่งนี้คงไว้ซึ่งความสมบูรณ์ทางธรรมชาติได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนกลายเป็นหนึ่งในดินแดนแห่งความฝันของนักเดินทางอีกมากมาย ทัวร์แอนเดียนลาตินอเมริกาสุดคุ้มค่า ราคาไม่แพงอย่างที่คิด
แผนการท่องเที่ยว
-
Day 1กรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) – สนามบิน อัมสเตอร์ดัม
-
Day 2อัมสเตอร์ดัม – โบโกต้า (ประเทศโคลอมเบีย)
- เช้า อิสระอาหารเช้าภายในสนามบิน (เช็คเอ้าท์ภายในเวลาประมาณ 8.00 น.)09.30 น. สายการบิน KLM เที่ยวบินที่ KL749 (0930-1425) นำท่านออกเดินทางสู่โบโกต้า ประเทศโคลอมเบียใช้เวลาเดินทาง 12 ชั่วโมง14.25 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติเอล โดราโด้ (El Dorado International Airport) เมืองหลวงโบโกต้าประเทศโคลอมเบีย ผ่านการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว นำท่านขับรถชมเมืองโดยรอบก่อนไปชมในวันถัดไปโบโกต้า (Bogota) มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ซานตาเฟเดโบโกตา (Santa Fe de Bogotá) เป็นเมืองหลวง และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโคลอมเบีย รวมถึงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศแถบลาตินอเมริกา ที่มีภาพลักษณ์ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ โบโกต้าตั้งอยู่ในหุบเขาแอนเดียน ทำให้เป็นเมืองที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 2,600 เมตร และเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนมหานครแห่งหลากปัญหา มาเป็น มหานครที่น่าอยู่ได้โดยปรับเมืองเป็นเมืองจักรยานอย่างแท้จริง ในปี ค.ศ.1998 นายกเทศมนตรีของเมืองโบโกต้า นาย เอนริเก้ เปนาโรซ่า (Enrique Penalosa) ได้นำงบประมาณส่วนหนึ่งมาสร้างเส้นทางจักรยานที่มีความยาวรวม 300 กิโลเมตรผ่าเข้าใจกลางเมือง เพื่อพิสูจน์ให้โลกตระหนักว่าจักรยานมิได้แก้ไขความสับสนอลหม่านของการจราจรเพียงประการเดียว แต่มันยังแก้ปัญหามลพิษ และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทุกระดับชั้นในเมืองหลวง ที่สำคัญจักรยานสร้างความเสมอภาค จนสามารถลด ช่องว่างความเหลื่อมล้ำในสถานะภาพของคน ส่งผลให้สามารถลดปัญหาสังคมในหลายมิติได้อีกด้วยเพียงเวลาไม่ถึงทศวรรษ นครโบโกต้าก็ได้รับการยกย่องจากทั้งนิตยสาร Bicycling และหนังสือพิมพ์ USA Today สองสื่อที่มีความน่าเชื่อถือและทรงอิทธิพลว่า โบโกต้าเป็นมหานครอันดับที่สาม ที่เป็นมิตร กับผู้ใช้จักรยานอย่างแท้จริง รองจากสองอันดับแรกคือกรุงอัมสเตอร์ดัม และกรุงโคเปนเฮเกนนำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก เพื่อพักผ่อนหลังจากเดินทางมาไกลค่ำ รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรมพักผ่อนที่โรงแรม SHERATON BOGOTA HOTEL, BOGOTA 5* --- หรือเทียบเท่า (2)
-
Day 3โบโกต้า - ชมเมือง – พิพิธภัณฑ์ทองคำ – ย่าน Usaquen
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมนำท่านสำรวจเมืองหลวงโบโกต้านำชม เขตเมืองเก่าโบโกต้า ที่เรียกว่า ลา แคนเดลาเรีย (La Candelaria) เป็นย่านศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของ โบโกต้า พื้นที่แห่งนี้ถูกจัดให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสลงตัวอย่างที่ดี ของสถาปัตยกรรมในยุคอาณานิคมสเปนที่ตั้งตระหง่านรายล้อมโดยรอบเขตเมืองเก่า โดยมีจัตุรัสหลักเป็นจุดศูนย์กลาง คือ จัตุรัสโบลิวาร์ (Plaza de Bolivar) ซึ่งมีรูปปั้นของ ซีโมน โบลิวาร์ ตั้งอยู่เด่นเป็นสง่า เดิมจัตุรัสแห่งนี้ถูกเรียกว่า พลาซ่า มายอร์ (Plaza Mayor) หรือจัตุรัสกลาง ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น เป็นตลาด เป็นลานประหารชีวิตนักโทษ เป็นต้น ทางด้านทิศตะวันออกของจัตุรัส เป็นที่ตั้งของ มหาวิหารแห่งเมืองโบโกต้า (The Cathedral) ซึ่งถูกสร้างบนพื้นที่เดิมของโบสถ์คริสต์แห่งแรกของเมืองที่สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1539 ภายในมหาวิหารจะเก็บรวบรวมศาสนวัตถุโบราณที่สำคัญ ทั้งทางด้านงานสิ่งทอและงานศิลปะ ที่มีอายุเก่าแก่กว่าสี่ศตวรรษ ด้านข้างของมหาวิหาร เป็นที่ตั้งของ คาพิลล่า เดล ซากราริโอ้ (The Capilla del Sagrario) เป็น สถาปัตยกรรมทางศาสนาที่ทรงคุณค่า ภายในเก็บรักษาชิ้นงานศาสนศิลปในยุคอาณานิคม ที่เป็นผลงานของศิลปินชื่อดัง Gregorio Vásquez de Arce y Ceballosต่อด้วยการชม ศาลาว่าการเมือง (The Capitol) สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1847-1926 เป็นอาคารที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลของศิลปแบบเรอเนสซองส์และนีโอคลาสสิก โดยดูได้จากลวดลายแกะสลักบนเสาหินขนาดสูงที่ประดับภายในตัวอาคาร พื้นที่ตอนกลาง มีชื่อที่รู้จักกันว่า “ ห้องโถงรูปไข่ ” เป็นสภาคองเกรส ที่ประชุมของเหล่าบรรดานักการเมืองและวุฒิสมาชิก นอกจากนี้บริเวณรอบๆจัตุรัสโบลิวาร์ ยังมีอาคารต่างๆที่สำคัญ เช่น ศาลยุติธรรม (Palacio de Justicia) ศาลาว่าการเมืองโบโกต้าที่เรียกว่า Edificio Liévano โรงเรียน ซาน บาร์โตโลเม่ (San Bartolome)เป็นโรงเรียนที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ และ อาคาร คาซ่า เดอ ลอส คอมมูนเนรอส(Casa de los Comuneros) ที่ตั้งชื่อตามอดีตผู้นำการเปลี่ยนแปลงของประเทศ ในช่วงปลายศตวรรษทื่ 17 ที่มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชจากสเปน และมีการร่างสร้างประเทศให้เป็นสาธารณรัฐ ต่อด้วยชม พิพิธภัณฑ์โบเทโร่ (Botero Museum) เป็นบ้านพิพิธภัณฑ์แบบโคโลเนียล ที่จัดแสดงงานศิลปภาพวาดของ เฟอร์นันโด โบเทโร่ (Fernando Botero) รวมทั้งงานศิลปของนักเขียนที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่เป็นของเก็บสะสมส่วนตัวอันล้ำค่าของเขา เช่น ผลงานของปิกัสโซ เรอนัวร์ ดาลี่ มาติสเซ่ โมเนต์ และ เกียโกเมตี้การท่องเที่ยวในเมืองโบโกต้าจะไม่สมบูรณ์กลางวัน รับประทานอาหารกลางวันบ่าย นำชมพิพิธภัณฑ์ทองคำ การมาเยือนถิ่นลาตินอเมิรกาหากปราศจากการเยือน พิพิธภัณฑ์ทองคำ (Gold Museum) ซึ่งรวบรวมสมบัติทองคำล้ำค่าของประเทศถึงกว่า 32,000 ชิ้น หินอัญมณีกว่า 20,000 ชิ้น ตลอดจนงานเครื่องปั้นดินเผา เซรามิก และงานสิ่งทอที่สื่อคุณค่าทางวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองเผ่าต่างๆ อาทิ เช่น Quimbaya, Calima, Tayrona, Sinu, Muisca, Tolima, Tumaco, และ Magdalena พิพิธภัณฑ์ทองคำถือเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดของโลก ที่เปิดดำเนินงานตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1939 แต่มีการปรับปรุงซ่อมแซมครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 2007 ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นสมาชิกของเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ระหว่างประเทศ (ICOM)นำท่านสำรวจย่าน Usaquen หรือ เขตอาณานิคมเก่า ชมบรรยากาศแบบชนบท บ้านเรือนและสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล บนถนนคนเดินที่นำท่านสู่จตุรัสกลางเมือง ที่เต็มไปด้วยร้านรวงแบบบูทีค ห้องโชว์งานศิลปะ ร้านขายของทะระลึก ร้านอาหาร โดยเฉพาะวันอาทิตย์จะมีตลาด Flea Market คุณจะได้สัมผัสวิถีชีวิต การจับจ่ายสินค้า และผลิตภัณฑ์คุณภาพ งานศิลปะค่ำ รับประทานอาหารค่ำพักผ่อนที่โรงแรม SHERATON BOGOTA HOTEL, BOGOTA 5* หรือเทียบเท่า --- (3)
-
Day 4โบโกต้า– วิหารเกลือซิปากีร่า- ทะเลสาบกัวตาวิต้า (Guatavita Lake)
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมเดินทางออกจากเมืองหลวงโบโกต้า มุ่งไปยังทิศเหนือผ่านเมืองโตกันซิปา (Tocancipa) และเมืองกาชันซิปา (Gachancipa) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง เพื่อไปยัง ทะเลสาบกัวตาวิต้า (Guatavita Lake) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ เขตป่าสงวนกาซิเก้ กัวตาวิต้า (Cacique Guatavita) และคูชิล่า เดอ เปนาส บลังก้า (Cuchilla de Penas Blancas) เป็นเขตที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองเผ่ามุยสก้า ดินแดนอินเดียนที่สูงเสียดฟ้าแห่งนี้ เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ไม้และสัตว์ประจำถิ่นที่หาดูได้ยากจำนวนมากมาย จากนั้นผ่านชมตัวเมืองกัวตาวิต้า และทะเลสาบโตมิเน ที่สงบเงียบ น่ารัก มีภาพที่โดดเด่นของกลุ่มบ้านที่ทาสีขาว และจัตุรัสกลางเมืองที่สวยงาม แต่หากเป็นวันอาทิตย์ เมืองจะดูครึกครื้น ด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่มาประดับกับตลาดนัดวันอาทิตย์ที่มีประจำทุกสัปดาห์ที่ทะเลสาบแห่งนี้จะนำท่านเดินทางย้อนไปสู่ ดินแดนแห่งตำนาน “เอล โดราโด้” หรือ “นครแห่งทองคำ” ขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ์อินคา เรื่องราวของการล่าขุมทอง เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1531 นักสำรวจชาวสเปนดิเอโก้ เดอ ออร์ดาซ (Diego de Ordaz) ประสบอุบัติเหตุเรือล่มอับปางบริเวณชายฝั่งประเทศโคลอมเบีย เขาได้รับความช่วยเหลือจากชนพื้นเมืองเผ่ามุยสก้าที่มีหัวหน้าเผ่าทาผิวกายด้วยผงทองคำ ซึ่งต่อมากลายเป็นตำนานขุมทองเอลโดราโด้ (เป็นภาษาสเปน แปลว่า มนุษย์ทองคำ) จากนั้นมีเหล่าบรรดานักสำรวจรุ่นแล้วรุ่นเล่า สวมบทบาทของนักแสวงโชค ที่พยายามเข้ามาพิชิตดินแดนแห่งนี้ และแท้ที่จริงแล้ว พวกเขามาค้นพบว่า ความลับของเอลโดราโด้ มันคือ สถานที่ศักดิ์สิทธิของชนพื้นเมืองเผ่ามุยสก้า (Muisca) ซึ่งชนพื้นเมืองเผ่านี้มีประเพณีการแต่งตั้งหัวหน้าเผ่าคนใหม่ ที่ต้องบูชาเทพเจ้าซึ่งเชื่อว่าอาศัยอยู่ใต้น้ำ ด้วยการโยนเครื่องประดับทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ลงสู่ใจกลางทะเลสาบกัวตาวิต้า ประเพณีนี้ได้ถือปฏิบัติกันมาเป็นเวลานานกว่าหลายร้อยปี จึงเชื่อได้ว่ามีทองคำจำนวนมหาศาลจมอยู่ก้นบึ้งของทะเลสาบแห่งนี้กลางวัน รับประทานอาหารกลางวันเดินทางต่อไปยัง เมืองซิปากีร่า (Zipaquira) ระยะทางประมาณ 42 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาทีซึ่งเป็นที่ตั้งของ วิหารเกลือซิปากีร่า (Zipaquira Salt Cathedral) สถาปัตยกรรมที่สะท้อนความสำเร็จที่ สวยงามของงานวิศวกรรมการก่อสร้าง ชื่อ “ซิปากีร่า” มาจากชื่อ “ซิปา” เป็นหัวหน้าเผ่าของชนพื้นเมืองเผ่ามุยสก้า ที่ปกครองอยู่ในเขตพื้นที่ที่อุดมไปด้วยเหมืองเกลือที่สมบูรณ์บริเวณนี้ การเยี่ยมชมภายในวิหาร จะต้องผ่านอุโมงค์ที่มีไม้กางเขนสิบสี่จุด ก่อนเข้าถึงยอดโดมตรงกลาง ซึ่งเป็นการออกแบบที่ช่วยสะท้อนให้เห็นระบบจักรวาล และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ภายในวิหารมีทางเดินสามทางเชื่อมไปสู่แท่นบูชาหลัก ที่แสดงความหมายถึง การประสูติ ช่วงชีวิต และการตาย ของพระเยซูคริสต์ บนแท่นบูชาหลักจะมีไม้กางเขนที่ทำจากเกลือ ที่วัดความสูงได้ 16 เมตร และความกว้าง 10 เมตร แกะสลักโดยช่างศิลปินชาวโคลอมเบีย ชื่อ คาร์ลอส เอ็นริกค์ โรดิเกซ (Carlos Enrique Rodriguez) นับเป็นไม้กางเขนที่ทำจากเกลือ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ภายในวิหารสามารถจุคนได้ถึง 8,000 คน จากนั้นนำท่านเยี่ยมชม เหมืองเกลือ ที่มีห้องโถงขนาดใหญ่ ที่สามารถรองรับคนได้ถึง 200 คน แม้กระทั่งเคยใช้เป็นสถานที่จัดแฟชั่นโชว์ภายในอีกด้วย การชมจะจบลงที่ กระจกสะท้อนผืนน้ำเกลือ ที่ใสบริสุทธิ์ จนสามารถใช้สะท้อนภาพต่างๆแทนกระจกได้ได้เวลาพอสมควร เดินทางกลับสู่โรงแรมที่พักในตัวเมืองโบโกต้าค่ำ รับประทานอาหารค่ำพักผ่อนที่โรงแรม SHERATON BOGOTA HOTEL, BOGOTA 5* หรือเทียบเท่า --- (4)
-
Day 5โบโกต้า -การ์ตาเฮนา (โคลอมเบีย)
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมนำท่านเดินทางสู่สนามบินโบโกต้า09.28 น. สายการบิน AVIANCA เที่ยวบินที่ AV-9514 (0928-1100) (ใช้เวลาบิน 1 ชม. 32 นาที) นำท่านเดินทางสู่เมืองการ์ตาเฮนา (Cartagena)11.00 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติ Rafael Nuñez International Airport เมืองการ์ตาเฮนาการ์ตาเฮนา (Cartagena) เป็นเมืองท่าและเมืองท่องเที่ยวที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดในโคลอมเบีย และได้รับการกล่าวให้เป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งริมฝั่งทะเลแคริบเบียน ของประเทศโคลอมเบีย ด้วยคุณลักษณะของการผสมผสานคุณค่าทางประวัติศาสตร์จากสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่หลงเหลืออยู่และเสน่ห์ความสวยงามของเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลแคริบเบียน จึงถูกจัดขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก ภายใต้การดูแลรักษาขององค์การยูเนสโก้ (UNESCO) ในปี ค.ศ. 1984 การ์ตาเฮนา เป็นเมืองอาณานิคมแห่งแรกของสเปนบนพื้นแผ่นดินทวีปอเมริกาเหนือ ตัวเมืองแบ่งออกเป็นส่วนๆ ส่วนที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างมาก คือ ส่วนเขตกำแพงเมืองเก่า ที่สร้างในยุคอาณานิคม (Ciudad Amurallada) และส่วนชายหาดที่ทอดยาวที่เต็มไปด้วยโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ (Bocagrande Beach) โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดเดือนธันวาคม ที่ชาวโคลอมเบียมักจะมาพักผ่อนใช้วันหยุด ด้วยการเล่นน้ำบนชายหาดแห่งนี้ เริ่มต้นวันด้วยการนำชมวิวทิวทัศน์ของเมืองการ์ตาเฮนา จากจุดสถานที่ที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมือง นั่นคือ อารามและโบสถ์โปปา (Monasterio and Iglesia de La Popa) เดิมมีชื่อเรียกว่า โปปา เดล กาลีออน (Popa del Galeon) เพราะมีลักษณะคล้ายโครงเรือใบขนาดใหญ่ อารามและโบสถ์แห่งนี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1606 ตั้งอยู่บนยอดเขาลา โปปา (La Popa Hill) บนพื้นที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 140 เมตร ณ.ตำแหน่งที่ซึ่งสามารถเพลิดเพลินไปกับการชมวิวเมืองการ์ตาเฮนาและวิวทะเลโดยรอบถึง 360 องศา นอกจากนี้ยังเห็นโซนท่าเรือของเมืองซึ่งเป็นหนึ่งในท่าเรือที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในทะเลแคริบเบียน ไม่ไกลกันนักจะเป็น ป้อมปราการซาน ฟิลิเป้ (San Felipe Fortress) ที่ออกแบบโดยวิศวกรชาวดัชท์ ชื่อ ริชาร์ด คารร์ ตั้งชื่อตามกษัตริยิ์ฟิลิปเป้ที่ 4 เป็นเกียรติแก่กวีเอกแห่งเมืองการ์ตาเฮนา ชื่อ ดอน หลุยส์ คาร์ลอส โลเปซ (Don Luis Carlos López) ในปี ค.ศ. 1657 เป็นที่รู้จักในบทโคลงกวีของเขาที่ชื่อ "A mi Ciudad Nativa" ป้อมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นบนเนินเขาซาน ลาซาโร (San Lázaro Hill) เพื่อใช้ปกป้องเมืองจากการโจมตีของเหล่าโจรสลัด ในช่วงที่ทำการขนส่งทองคำกลับไปยังยุโรป นำท่านเดินชมโดยรอบของป้อมปราการ ซึ่งท่านจะได้เห็นผลงานทางวิศวกรรมในการสร้างป้อมปราการ กำแพงหิน และอุโมงค์ใต้ดิน ซึ่งแบ่งเป็นห้องและทางเดินเป็นช่วงๆที่น่าอัศจรรย์กลางวัน รับประทานอาหารกลางวันจากนั้นเดินทางไปยัง ย่านเขตเมืองเก่าการ์ตาเฮนา (Ciudad Vieja) ย่านเมืองเก่าที่อยู่ภายในกำแพงเมืองเก่า มีทางเข้าหลักอยู่ที่หอนาฬิกา ภายในแบ่งเป็นส่วนๆ ประกอบไปด้วย Centro ส่วนกลาง เป็นย่านของโบสถ์และพระราชวังยุคอาณานิคม San Diego ย่านที่อยู่อาศัยของพ่อค้าและชนชั้นกลาง Getsemaní ย่านที่ได้รับความสนใจมากสุด มีจัตุรัส ตรินิแดด ที่เป็นบริเวณที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง และส่วนทันสมัยสุด La Matuna การชมเมืองเก่าที่เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวคือ การเดินชมหรือการใช้รถม้า (Chariot) ท่องเที่ยวชมไปแต่ละส่วนอย่างช้าๆไม่เร่งรีบ ซึมซับเสน่ห์และสีสันของบ้านเรือน อาคารสีสันสดใส และสถาปัตยกรรมยุคอาณานิคมต่างๆที่มีคุณค่าอย่างยิ่งชม โบสถ์ซาน เปโดร คลาเบอร์ (San Pedro Claver Church) ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงกลางของศตวรรษที่ 17 โดยใช้ชื่อว่า "Apóstol de los Esclavos” สร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่ นักบุญเปโดร คลาเบอร์ เป็นนักบุญคนแรกในโลกยุคใหม่ ที่ช่วยปลดปล่อยทาสในยุคอาณานิคม ต่อด้วยการชม ย่านหัตถกรรมโบเวดาส (Bovedas Handicrafts Zone) ตั้งอยู่ในบริเวณซุ้มประตูโค้งที่เป็นทางเดินเชื่อมต่อกับกำแพงเมือง ในอดีตช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ใช้เป็นคลังเก็บอาวุธยุทธภัณฑ์ ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นคุกที่คุมขังนักโทษ ปัจจุบันกลายเป็นศูนย์รวมงานหัตถกรรมท้องถิ่น ที่ผู้มาเยือนสามารถชื่นชมงานของช่างฝีมือท้องถิ่นได้ค่ำ รับประทานอาหารค่ำพักผ่อนที่โรงแรม CAPILLA DEL MAR, CARTAGENA 4*+ หรือเทียบเท่า --- (5)www.capilladelmar.com
-
Day 6การ์ตาเฮนา – ล่องเรือชมความงามของอ่าวการ์ตาเฮนา
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมชมย่านอาณานิคมของเมืองการ์ตาเฮนา โดยเริ่มต้นที่ สวนสาธารณะโบลีวา (Bolivar Park) เป็นสวนที่เต็มไปด้วยร่มเงาของต้นไม้ขนาดใหญ่ มีลานน้ำพุหลายแห่ง ภายในสวนสาธารณะแห่งนี้มีรูปปั้นของวีรชนเป็นจุดศูนย์กลางของพื้นที่ จากนั้นชม พิพิธภัณฑ์ทองคำ (Gold Museum) ซึ่งจัดแสดงผลงานคอลเลกชันที่ล้ำค่าของวัตถุโบราณต่างๆ โดยเฉพาะที่ทำจากทองคำซึ่งมีความเก่าแก่ย้อนกลับไปในช่วงประวัติศาสตร์ก่อนยุคอาณานิคมสเปนเป็นต้นมาชม พระราชวังอินควิซิชั่น (Inquisition Palace) ซึ่งตั้งอยู่ในสวนสาธารณะโบลีวา ที่นี่มีซุ้มประตูสไตล์บาร็อคขนาดใหญ่ที่โดดเด่นและสวยงามมาก ในอดีตสถานที่แห่งนี้เคยใช้สอบสวนและใช้เป็นคุกไว้ทรมานพวกนอกรีตศาสนาของชาวคาทอลิก ในยุคอาณานิคมสเปนชม โบสถ์ซานโต โดมิงโก้ (Santo Domingo Church) เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองการ์ตาเฮนา เดิมสร้างในปี ค.ศ. 1539 ตั้งอยู่ในบริเวณ Plaza de los Coches แต่ต่อมาถูกไฟไหม้ทำลายทุกอย่างลงจนหมด เนื่องจากโครงสร้างคอนแวนต์มีการใช้ฟางในการสร้าง จึงย้ายมาสร้างในบริเวณ Plaza de Santo Domingo ในปี ค.ศ. 1551 ภายในแท่นบูชารูปแบบบาร็อก เป็นรูปแกะสลักพระเยซู ที่ทำจากไม้ ในช่วงศตวรรษที่ 19กลางวัน รับประทานอาหารกลางวันช่วงเย็น นำท่าน ล่องเรือชมความงามของอ่าวการ์ตาเฮนา (Boat trip around the Bay)ชมทัศนีย์ภาพของเมืองที่สวยงาม ในมุมมองจากอ่าว ที่ท่านจะประทับใจในบรรยากาศยามเย็นของเมืองแสนโรแมนติกแห่งนี้ (ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 2 ชั่วโมง, เป็นเรือนักท่องเที่ยวทั่วไป shared boat)ค่ำ รับประทานอาหารค่ำพักผ่อนที่โรงแรม CAPILLA DEL MAR, CARTAGENA 4*+ --- (6)www.capilladelmar.com
-
Day 7การ์ตาเฮนา – ปานามา - การากัส (ประเทศเวเนซุเอล่า)
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมจากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน09.37 ออกเดินทางสู่เมืองการากัส โดยสายการบิน Copa Airlines แวะเปลี่ยนเครื่องที่ปานามา เที่ยวบินที่CM160 (0937-1055) / CM223 (1204-1526) อิสระอาหารกลางวันภายในสนามบินปานามา15.26 เดินทางถึงสนามบินการากัส ที่มีชื่อเต็มว่า Simon Bolivar International Airport ประเทศเวเนซุเอล่าตามเวลาท้องถิ่น ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง (ซึ่งอาจใช้เวลานานในการตรวจคนเข้าเมือง) แล้วนำท่านเดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พัก (ใช้เวลาเดินทางเข้าเมืองประมาณ 45 นาที)เวเนซุเอล่า เป็นหนึ่งในประเทศที่กลายเป็นเมืองที่สุดในละตินอเมริกา ชาวเวเนซุเอลาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในนครทางเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรุงการากัส เมืองหลวงของประเทศ ซึ่งเป็นนครใหญ่สุด นับแต่การค้นพบน้ำมันในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เวเนเซุเอลากลายเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกน้ำมันของโลก และ มีน้ำมันสำรองใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ หากเอ่ยถึงวงการนางงาม คงไม่มีใครปฎิเสธว่า ประเทศนี้เป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จในด้านนางงามมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก เพียงเวทีเดียว สาวงามจากประเทศนี้เคยครองมงกุฎนางงามจักรวาล 7 คน ยังไม่รวมเวทีอื่นๆ อีกมากมาย19.30 น. รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรมพักผ่อนที่ HOTEL RENNAISSANCE LA CASTELLANA, CARACAS 4* --- (7)
-
Day 8การากัส - ปวยโต ออร์แดซ
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมนำท่านสำรวจเมืองหลวง การากัส (Caracas) ชื่อทางการคือ ซานเตียโก เด เลออน เด การากัส (Santiago de León de Caracas) เมืองหลวงซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวเนซุเอล่า ตัวเมืองตั้งตามไล่ระดับพื้นที่ของหุบเขาแห่งหนึ่งในเขตเทือกเขาชายฝั่งของเวเนซุเอลา (Cordillera de la Costa) ภูมิประเทศของเขตตัวเมืองการากัสนี้ มีระดับความสูงอยู่ระหว่าง 760-910 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และอยู่ใกล้กับทะเลแคริบเบียน โดยมีแนวเขาสูงเซร์โรอาบีลา (2,200 เมตร) เป็นตัวคั่นจากชายฝั่งทะเล ส่วนทางใต้ก็เป็นเนินเขาและภูเขาเช่นกัน ผู้คนที่มาเยือนกล่าวขานให้เป็น “นครความแตกต่าง” เพราะตามบริเวณรอบนอกเขตวงแหวนของเนินใจกลางเมืองมี รังโชส (Ranchos) หรือเพิงพักอาศัยของพวกลักลอบเข้าเมืองและคนยากจนจากชนบทอาศัยอยู่มากมาย แต่เขตกลางหุบเขาและย่านคนรวย กลับดูสวยงามทันสมัย ดูเป็นภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เริ่มต้นสำรวจเมือง ด้วยการนำชม เขตใจกลางเมืองเก่าของ การากัส เรียกว่า เซนโตร (Centro) มีจัตุรัสโบลิวาร์ (Plaza Bolivar) เป็นศูนย์กลางของเขตเมืองเก่า ซึ่งรายล้อมไปด้วยตัวอาคารรูปแบบอาณานิคม อันประกอบด้วยทำเนียบรัฐบาล (Gober Nacion) ตั้งอยู่ตรงข้ามมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจัตุรัสอาคารกอนเซโฮ มูนิซิปาล (Concejo Municipal) สถานที่ซึ่งเป็นจุดกำเนิดการเรียกร้องเอกราช ภายในตัวอาคาร เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์คริโอโย่ (Museo Criollo) ห่างกันไม่ไกลเป็นที่ตั้งของ กาซ่า อามารียา (La Caza Amarilla) อดีตเคยเป็นคุกที่พำนักของประธานาธิบดี ปัจจุบันเป็นที่ทำการกระทรวงการต่างประเทศตึกรัฐสภา (El Capitolio) สถานที่สำคัญที่โดดเด่นด้วยภาพวาดจิตรกรรมมหากาพย์เกี่ยวกับเรื่องราวที่สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศ เช่น ภาพการสู้รบที่คาราโบโบ และ ภาพจัตุรัสโบลิวาร์ ซึ่งวาด โดยจิตรกรเอก Tovar y Tovar จากนั้นชม วิหารแพนทิออน นาซียองนัล (Pantheon Nacional) เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นที่สุดของเมือง ภายในเป็นที่ฝังศพเหล่าวีรชนและทหารกล้าของชาติ ส่วนหลังคาโค้งของอาคาร มีภาพวาดฉากสำคัญๆในชีวิตของโบลีวาร์ ต่อด้วยการชม พิพิธภัณฑ์ควินตา อเนาโก้ (Museum Quinta Anauco) เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงนิทรรศการศิลปะและโบราณวัตถุในยุคอาณานิคม ภายในมีอาคารยุคอาณานิคม ที่ล้อมรอบด้วยระเบียงและสวนสวยงาม สร้างในปี ค.ศ.1797 เคยเป็นที่อยู่ของบุคคลในตระกูลมาร์กีเซส จนกระทั่งมาสิ้นสุดที่ มาร์กีส เดล โตโร ในปี ค.ศ. 1837 โบลิวาร์ เคยมาเยือนที่แห่งนี้ เมื่อครั้งกลับมาการากัสเป็นครั้งสุดท้ายเที่ยง รับประทานอาหารกลางวันช่วงบ่าย นำท่านขึ้น กระเช้าไฟฟ้าสู่ยอดเขาอวิล่า (Avila Mountain Cable Car) ซึ่งเป็นยอดเขาที่มีความสูงถึง 2,740 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เขาอวิล่าเป็นเสมือนกำแพงแนวเขตที่กั้นระหว่างเมืองการากัส และทะเลแคริเบียน ระหว่างทางนั่งกระเช้าไฟฟ้าท่านจะได้สัมผัสกับทัศนียภาพในมุมสูงของเมืองหลวงแห่งนี้ และอีกด้านจะเป็นวิวทะเลแคริบเบี้ยนจากนั้นเดินทางสู่สนามบิน19.30 น. นำท่านเดินทางไปยัง ปวยโต ออร์แดซ (Puerto Ordaz) โดยสายการบิน Rutaca Airlines เที่ยวบินที่5R-306 (1930-2020) (ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชม.) กระเป๋าโหลดได้ 20 กิโลกรัม20.20 น. เดินทางถึงสนามบินเมืองปวยโต ออร์แดชเดินทางเข้าสู่ที่พักค่ำ รับประทานอาหารค่ำภายในโรงแรมพักผ่อน HOLTEL PLAZA MERU, 4* --- (8)คืนนี้ขอให้ท่านจัดกระเป๋าสัมภาระใบเล็กน้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม เพื่อพักค้างคืนที่คาไนมา 1 คืน กระเป๋าใหญ่ฝากไว้ที่โรงแรมในปวยโต ออร์แดซ
-
Day 9ปวยโต ออร์แดซ –คาไนมา - น้ำตกแองเจล (Angel Falls)
- 07.00 น. รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม08.00 น. นำท่านเดินทางสู่สนามบิน พร้อมกระเป๋าสัมภาระใบเล็ก น้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม09.30 น. นำท่านขึ้นเครื่องบินขนาด 19 ที่นั่ง Jet Steam ออกเดินทางสู่คาไนมา ใช้เวลาบินประมาณ 45 นาทีเส้นทางบินเหนือป่าอุทยาคาไนม่า ว่ากันว่าการลงจอดของเที่ยวบินนี้เป็นวิวที่งดงามที่สุดในลาตินอเมริกาเลยทีเดียว10.15 น. เครื่องบิน Jet Steam ลงจอดจากนั้นนำท่านขึ้นบินอีกครั้ง ด้วยเครื่องบินเล็กขนาด 5 ที่นั่ง(ใช้เครื่องบิน 3 ลำ นั่งลำละ 4 คน)นำท่านขึ้นชม น้ำตกแองเจล (Angel Falls) โดยใช้การบินเปิดมุมมองเหนือเส้นทางการบินคาไนมา อุทยานแห่งชาติคาไนมา (Canaima National Park) พื้นที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตป่าฝนของลุ่มน้ำอเมซอนและลุ่มน้ำโอรีโนโก ภูมิประเทศเป็นเขตเทือกเขาสูงชัน และมีหุบเขาลึก ที่ยังเป็นป่าหนาทึบ เทือกเขาเหล่านี้ เป็นที่รู้จักในชื่อของพวกอินเดียนว่า “เตปุย” (Tepuis) ซึ่งบนยอดของเตปุย จะเป็นที่ราบกว้างใหญ่รูปร่างตัดตรงคล้ายโต๊ะ ที่แผ่ขยายครอบคลุมเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ จากโคลอมเบีย สู่กายอาน่า เมื่อกาลเวลาผ่านไปเกิดการพังทลายของเทือกเขาแยกโครงสร้างใหญ่เป็นส่วนๆ เกิดพื้นที่หุบเขาที่ดูเป็นกำแพงสูงชันนับพันเมตร รอยแยกที่เกิดขึ้นได้แบ่งพื้นที่ราบสูงออกเป็นแต่ละส่วนโดยแยกกันอย่างสมบูรณ์ จึงเกิดเป็นธรรมชาติที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในเขตอเมริกาใต้ รวมทั้งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ นั่นคือ น้ำตกแองเจล (Angel Falls) ซึ่งมีความสูงถึง 979 เมตร เป็นความสูงที่มากกว่าน้ำตกไนแองการ่าถึง 15 เท่า หรือ สูงกว่าตึกเอ็มไพร์สเตทถึง 2 เท่า หรือ สูงกว่า หอไอเฟิลถึง 3 เท่า นับเป็นน้ำตกที่มีความสูงมากที่สุดในโลก บริเวณพื้นที่โดยรอบของอุทยานฯ เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ท้องถิ่น สัตว์ประจำถิ่น นกและแมลงต่างๆ ที่หาดูได้ยาก ผ่านเข้าสู่น่านฟ้าเขตอุทยานคาไนมา (เครื่องบินขนาดเล็ก นั่งได้ครั้งละ 4 ท่าน เป็นโปรแกรมทัวร์รวมของอุทยาน ไม่สามารถจัดเป็นคณะแยกได้ และการอนุญาติให้ขึ้นบินในแต่ละวัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเป็นหลัก) หลังเริ่มบินได้ประมาณ 20 นาที เส้นทางการบินจะค่อยๆเข้าสู่เขตหุบเขาปีศาจ (Devil’s Canyon) ท่านจะได้เห็นภาพน้ำตกที่มีความสูงที่สุดในโลกอยู่เบื้องหน้า นั่นคือ น้ำตกแองเจล ประวัติการค้นพบน้ำตกแห่งนี้ เกิดในปี ค.ศ. 1960 เมื่อมีชายแปลกหน้าว่าจ้างให้ กัปตันนักสำรวจชาวสหรัฐฯ นามว่า จิมมี่ แองเจล (Jimmy Angel) ด้วยค่าจ้าง 5,000 เหรียญสหรัฐในการพาบินสู่ยอดเขาทางใต้ของเวเนซุเอล่า และเมื่อหลังการลงจอดอย่างทุลักทุเล ทั้งคู่ได้ตั้งแคมป์พักอาศัยริมลำธารถึงสามวัน และในที่สุดทั้งคู่ได้ค้นพบทองคำหนักถึง 75 ปอนด์ หลังจากกลับถึงการากัส กัปตันแองเจล พยายามกลับไปหาทองคำอีกครั้งแต่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้บินลงจอดโดยเกิดการกระแทกอย่างแรง บนยอดเขาสูง 2,400 เมตร ชื่อ โอยัน เตปุย (Auyan Tepui) เครื่องบินเสียหาย เขาต้องเดินเท้ารอนแรมอยู่ในป่า เป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ จนกระทั่งได้มาค้นพบความลับของ ชาวอินเดียนเผ่าเปมอน (Pemon) ที่ดูแลปกป้อง “Churun Meru” น้ำตกที่สูงที่สุดของโลก มาเป็นเวลานานกว่าหลายร้อยปี น้ำตกแห่งนี้จึงถูกตั้งชื่อเรียกตามกัปตันแองเจล ที่เป็นผู้ค้นพบและนำเรื่องราวมาเปิดเผยสู่สายตาของชาวโลก แต่อดีตประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ ได้เปลี่ยนชื่อน้ำตกแองเจลให้เป็นชื่อพื้นเมือง คือ “เคเรปาคุปาอิ เมรู” (Kerepakupai Meru) แปลว่า น้ำตกที่ลึกที่สุด (Waterfall of the deepest place) ตามเดิม ปัจจุบันองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนน้ำตกแห่งนี้เป็นมรดกโลก (UNESCO World Heritage Site) และได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของเวเนซุเอล่าที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดชมเครื่องลงจอดที่หมู่บ้านอินเดียน Kavak จากนั้นนำท่านเดินประมาณ 20 นาที เพื่อชมถ้ำ Kavak ที่อยู่เบื้องล่างของน้ำตกแองแจลเที่ยง รับประทานอาหารกลางวันในหมู่บ้านได้เวลาพอสมควร นำท่านขึ้นเครื่องบินเล็กเดินทางกลับคาไนม่า เดินทางกลับสู่ที่พัก เพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ำ รับประทานอาหารค่ำพักผ่อน WAKU LODGE, CANAIMA 4* --- (9) www.wakulodge.com
-
Day 10คาไนมา–น้ำตกซาโป (Sapo Falls) - ปวยโต ออร์แดซ–การากัส
- เช้า รับประทานอาหารเช้าหลังอาหารเช้า นำท่านชม น้ำตกซาโป (Sapo Falls) โดยขึ้นเรือหางยาวที่ชายหาดคาไนมา เดินทางข้ามทะเลสาบคาไนมา ผ่านภาพในมุมมองที่น่าประทับใจของธรรมชาติ เช่น ภาพน้ำตกเล็กๆ เจ็ดแห่ง นำท่านเดินเท้าต่อในระยะทางสั้นๆ ประมาณ 20 นาที ผ่านทุ่งหญ้าสวันนา ซึ่งภาพเบื้องหลังคือ สายม่านน้ำที่สวยงามของน้ำตกซาโป แบ่งทางซีกขวาเป็นหน้าผาสูง ทางซีกซ้ายเป็นม่านน้ำตก ซึ่งส่งเสียงคำรามไปทั่วสารทิศ พร้อมละอองน้ำที่สาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณกว้าง ท่านสามารถเดินชมวิวทิวทัศน์ด้านบนของน้ำตกในมุมมองที่แตกต่าง จากนั้นนำท่านนั่งเรือกลับไปที่ชายหาดคาไนมา (ในช่วงฤดูแล้ง ปริมาณน้ำในน้ำตก อาจจะมีน้ำน้อยลง)10.30 น. นำท่านขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับปวยโต ออแดซ11.15 น. เดินทางถึงปวยโต ออแดซกลางวัน รับประทานอาหารกลางวันหากมีเวลาพอนำท่านชม Cachamay National Park และ La Llovizna National Parkจากนั้นเดินทางสู่สนามบินที่ ปวยโต ออร์แดซ เพื่อเดินทางไปยังสนามบินเมืองการากัสโดยสายการบิน Aserca Airlines เที่ยวบินที่ R7-746 (1650-1750) (ใช้เวลาบินรวม.1 ชม.)เดินทางถึงเมืองการากัส นำท่านเดินทางไปยังที่โรงแรมที่พักค่ำ รับประทานอาหารค่ำพักผ่อนที่ HOTEL RENNAISSANCE LA CASTELLANA, CARACAS 4 --- (10)
-
Day 11การากัส(เวเนซุเอล่า) - กีโต้ (ประเทศเอกวาดอร์)
- เช้า รับประทานอาหารเช้าพักผ่อนตามอัธยาศัยเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติเมืองการากัสเพื่อออกเดินทางไปยังเมืองกีโต้ ประเทศเอกวาดอร์15.00 น. สายการบิน TAME LINEA AEREA DEL ECUADOR เที่ยวบินที่ EQ525 (15.00-18.00) ออกเดินทางสู่เมืองกีโต้ (ใช้เวลาบิน 4 ชม.)18.00 น. เดินทางถึงเมืองกีโต้ หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ไกด์ท้องถิ่นรอต้อนรับท่านเพื่อนำท่านเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกีโต้เย็น รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรมพักผ่อนที่โรงแรม HOTEL DANN CARLTON, QUITO 4* --- (11) www.hotelesdann.com
-
Day 12เมืองเก่ากีโต้ (Quito) - เส้นละติจูดของโลก 0'0'0''
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม09.00 นำท่านออกเดินทางเช้านี้เป็นประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวที่น่าจดจำอีกวันหนึ่ง ในการพาท่านเยี่ยมชมเมืองกีโต้ เมืองกีโต้ (Quito) นครเอกแห่งเอกาวาดอร์ โดยเริ่มต้นที่ย่านเมืองเก่า ที่เป็นเขตประวัติศาสตร์เก่าแก่ และเป็นเมืองแรกในโลก ที่ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็น "มรดกโลกทางวัฒนธรรม" ซึ่งได้จากคุณค่าทางศิลปะและสถาปัตยกรรมของเมือง ที่ท่านจะเห็นภาพถนนแคบหลายสายที่บางช่วงมีความลาดชัน มีจัตุรัสน้อยใหญ่หลายแห่ง ที่รายล้อมด้วยอาคารสถาปัตยกรรมรูปแบบคลาสสิกมากมาย รวมทั้งบ้านเรือนผู้คนในสไตล์โคโลเนียล ที่มีมุขระเบียงบ้านปลูกดอกไม้หลากสี เพิ่มความมีเสน่ห์ให้กับเมืองแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมี อนุสาวรีย์ โบสถ์ คอนแวนต์ อาราม และศาสนสถานต่างๆ มากกว่า 50 แห่ง ที่ได้รับการดูแลรักษาร่วมกันอย่างดีที่สุด เมืองกีโต้ จึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของลาตินอเมริกาที่อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดของโลกนำท่านชม โบสถ์ และคอนแวนต์ ซันโต โดมิงโก (Church and Convent of Santo Domingo) ภายในคอนแวนต์ มีภาพวาดสีน้ำมันและแผ่นทองคำประดับบนบานประตูขนาดใหญ่และบนเพดานด้านบนที่สวยงามเกินบรรยาย และยังมีการจัดแสดงงานศิลปะและสถาปัตยกรรมทางศาสนาในยุคอาณานิคมที่หาดูได้ยาก ท่านจะชื่นชมกับความงดงามของสถาปัตยกรรมที่ละเอียดอ่อนในคอนแวนต์แห่งนี้ นอกจากนี้ ภายในโบสถ์ยังมี วิหารของเอล โรซาริโอ และ ปอมเปย่า (Chapels of El Rosario and Pompeya) ที่เสาและผนังได้รับการประดับตกแต่งด้วยทองคำ รวมทั้งมีการผสมผสานลวดลาย รูปร่างของมนุษย์ และ รูปผักต่างๆ ที่จัด เป็นรูปแบบงานศิลปะที่มีความโดดเด่นและมีชื่อเสียงในระดับโลก ของโรงเรียนศิลปะแห่งเมืองกีโต้ จากนั้นชมโบสถ์แห่งสังคมของพระเยซู คริสตจักรของพระเยซูคริสต์ เป็นโบสถ์นิกายเยซูอิตในกีโตเอกวาดอร์ เป็นโบสถ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในกีโตเนื่องจากมีวิหารกลางขนาดใหญ่ซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างประณีตด้วยใบทองปูนปลาสเตอร์และงานแกะสลักไม้ แรงบันดาลใจจากโบสถ์โรมันสองนิกายเยซูอิต - Chiesa del Gesu (1580) และ Chiesa di Sant'Ignazio di Loyola (1650) - บริษัท เป็นหนึ่งในงานสถาปัตยกรรมบาโรกที่สำคัญที่สุดในอเมริกาใต้ เป็นคริสตจักรที่หรูหราที่สุดของกีโตและ (ตามที่นักสังเกตการณ์บางคน) เป็นประเทศที่สวยที่สุดในประเทศเที่ยง รับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารท้องถิ่น ในเขตเมืองเก่าบ่าย หลังอาหารกลางวัน เราจะเดินทางขึ้นไปทางทิศเหนือของเมืองกีโต้ เพื่อไปยัง แกนเส้นละติจูดของ โลกที่ตำแหน่ง 0'0'0'' เป็นตำแหน่งที่ท่านสามารถยืน โดยเท้าข้างหนึ่งอยู่บนซีกโลกเหนือ อีกข้างหนึ่งอยู่ยนซีกโลกใต้ได้นำท่านชม พิพิธภัณฑ์อิติยัน (Itiñan Museum) ที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า “พิพิธภัณฑ์แห่งเส้นทางการเดินทางของดวงอาทิตย์” สถานที่นี้จะนำท่านสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของชาวอินเดียน ที่มีองค์ความรู้ในเรื่องต่างๆอย่างดีเยี่ยมทั้งในเรื่องโลก วัฒนธรรม และประเพณี การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ จะทำให้ท่านเห็นกฎแห่งฟิสิกส์ ในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้ในตำแหน่งจุดเส้นแบ่งกึ่งกลางของโลกตรงนี้ รวมทั้งแสดงให้เห็นอิทธิพลของเส้นสมมุตินี้ ที่มีต่อความเชื่อของชาวพื้นเมืองอินเดียน ในการวางแผนทำเกษตรกรรม และความเชื่อในการประกอบพิธีกรรม ที่บูชาดวงอาทิตย์เป็นเทพพระเจ้าหลักของเขาค่ำ รับประทานอาหารค่ำพักผ่อนที่โรงแรม HOTEL DANN CARLTON, QUITO 4* --- (12)www.hotelesdann.com
-
Day 13กีโต้ – ตลาดโอตาวาโล – ที่ราบสูงทางเหนือ
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมนำท่านเดินทางสู่ทิศเหนือของเมืองกีโต้ ไปยังจังหวัดอิมบาบูร่า (Imbabura) ดินแดนแห่งมหัศจรรย์หมู่ทะเลสาบ เพื่อเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ที่ต้องไม่พลาดชมในการมาเที่ยวประเทศนี้ นั่นคือตลาดพื้นเมืองโอตาวาโล (Otavalo Market) เป็นตลาดพื้นเมืองของชาวอินเดียนที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนยุคอินคา ตลาดเก่าแก่ที่มี ชีวิตชีวาเต็มไปด้วยสีสันแห่งนี้ มีเสน่ห์ดึงดูดนักเดินทางมากมายจากทั่วโลกเพื่อมาเยือนครั้งหนึ่งในชีวิต สินค้าพื้นเมืองที่มีชื่อเสียง คือ งานสิ่งทอด้วยมือ เสื้อปอนโช่ (Ponchos) ที่เป็นเสื้อคลุมตัวหลวมๆแบบชาวพื้นเมืองของอินเดียน หมวกเครื่องประดับของชาวอินเดียน ตลอดจนงานหัตถกรรมต่างๆ ให้ท่านได้มีเวลาเดินสำรวจโดยรอบของตลาดเที่ยง รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารบ่าย ช่วงบ่ายหากมีเวลาพอ นำท่านชม โคตากาชิ (Cotacachi)ศูนย์ช่างฝีมือประเภทงานเครื่องหนังและงานไม้หรือ ซาน อันโตนิโอ เดอ ไอบาร์ร่า (San Antonio de Ibarra)ที่เป็นศูนย์กลางงานศิลปะ ประเภทงานไม้แกะสลักค่ำ รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารพักผ่อนที่โรงแรม HOTEL DANN CARLTON, QUITO 4* -- (13) www.hotelesdann.com
-
Day 14กีโต้ – กาลาปากอส (Galapagos)
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมหลังอาหารเช้า นำท่านออกเดินทางจากโรงแรม ไปยังสนามบินนานาชาติเมืองกีโต้ บินสู่จุดหมายปลายทางที่ หมู่เกาะกาลาปากอส09.00 น. โดยสายการบิน TAME Linea Aerea del Ecuador เที่ยวบินที่ EQ 193 (0900-1130) (ใช้เวลาบิน 3.30 ชม.) นำท่านเดินทางสู่เกาะกาลาปากอส ระหว่างทางเครื่องบินแวะจอดที่ เมืองกัวยากิว (Guayaquil) เมืองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเอกาวาดอร์11.30 น. เดินทางถึงสนามบินบอลต้า (Baltra Airport) นำท่านผ่านพิธีการตรวจเอกสาร รวมทั้งการชำระเงินค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติกาลาปากอสเที่ยง รับประทานอาหารกลางวันจากนั้นนำท่านเดินทางโดยเรือเฟอร์รี่ข้ามช่องแคบอิตาบาก้า (Itabaca Channel) ไปยังเกาะซานตาครูซ (Santa Cruz Island) เพื่อนำท่านไปยังเขตพื้นที่ราบสูงของเกาะซานตาครูซ เป็นที่ตั้งของศูนย์อนุรักษ์ระบบนิเวศวิทยา Cerro Mesa หรือ Manzanillo หรือ El Chato ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกเต่ายักษ์ที่เป็นสัตว์พื้นถิ่นของหมู่เกาะกาลาปากอสหมู่เกาะกาลาปากอส (THE GALAPAGOS ISLANDS) ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกห่างจากพื้นแผ่นดินใหญ่ประเทศเอกาวาดอร์ ทวีปอเมริกาใต้ ประมาณ 1,000กิโลเมตร บริเวณหมู่เกาะกาลาปากอส ประกอบด้วยเกาะหลัก 14 แห่ง และเกาะขนาดเล็กอีกกว่า 60 แห่ง ซึ่งจัดเป็นพื้นที่ศูนย์อนุรักษ์ทางทะเลที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก จึงถูกขนานนามว่าเป็น" ห้องปฏิบัติการทดลองที่มีชีวิต " ลักษณะทางธรรมชาติวิทยาของพื้นที่บริเวณหมู่เกาะ นับรวมถึงกระแสน้ำในมหาสมุทร โครงสร้างทางธรณีวิทยาที่เป็นพื้นที่แบบภูเขาไฟ และการแยกตัวของหมู่เกาะออกจากแผ่นดินใหญ่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านพันธุ์กรรมของสิ่งมีชีวิตที่พบว่าไม่มีที่ไหนในโลกที่จะเหมือนที่นี่ ทำให้หมู่เกาะแห่งนี้มีชื่อเสียงสามารถดึงดูดนักผจญภัย มาชื่นชมความแปลกมหัศจรรย์ที่สามารถหาดูได้เฉพาะที่นี่ อาทิ เช่น อิกัวน่าทะเล เต่ายักษ์ (เรียกว่า "กาลาปากอส") และนกฟินช์ ดาร์วิน รวม13 สายพันธุ์ เอกลักษณ์ทางชีววิทยาเฉพาะตัวที่เกิดขึ้นบนหมู่เกาะแห่งนี้ ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน เขาจึงไปเยือนหมู่เกาะนี้ในปี ค.ศ. 1835 ตั้งแต่นั้นมาพื้นที่บริเวณนี้ได้กลายเป็นพื้นที่หลักสำหรับการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ และปัจจุบันหมู่เกาะกาลาปากอส จัดเป็นเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ที่มีการดูแลรักษาและป้องกันอย่างเคร่งครัด และได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโก ให้เป็นพื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของโลก จึงเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้นำชมสถานีวิจัยชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin Research Station) และศูนย์เพาะพันธุ์ ฟอสโต้เยเรนา (Fausto Llerena Breeding Center) ในส่วนที่จัดเปิดให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตต่างๆในบริเวณหมู่เกาะ รวมทั้งข้อมูลประวัติศาสตร์ของธรรมชาติในเขตพื้นที่แห่งนี้ นอกจากนี้ยังสามารถชมการเพาะเลี้ยงเต่ายักษ์ในแต่ละช่วงอายุของการเจริญเติบโตอีกด้วยช่วงบ่าย ให้ท่านได้มีเวลาพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ำ รับประทานอาหารค่ำ และพักผ่อนที่โรงแรมHOTEL SOL Y MAR 4*, SANTA CRUZ ISLAND, GALAPAGOS หรือเทียบเท่า--- (14)www.hotelsolymar.com.ec
-
Day 15หมู่เกาะกาลาปากอส (เกาะสวรรค์ของนักเดินทาง)
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมแต่เช้าตรู่ นำท่านไปยังท่าเรือ เพื่อขึ้นเรือเดินทางท่องเที่ยวไปตามเกาะต่างๆโดยรอบ อาทิ เช่น เกาะอิสเบล่า (Isabela Island) เกาะพลาซ่า (Plazas Island) เกาะซานตา เฟ (Santa Fe Island) เกาะเซมูร์ (Seymour Island) เกาะบาร์โตโลมี (Bartolome Island) เกาะซาน คริสตโตบอล (San Cristobal Island)หมายเหตุ โปรแกรมการท่องเที่ยวหมู่เกาะกาลาปากอส เป็นโปรแกรมทัวร์รวมที่จัดขึ้นโดยอุทยานแห่งชาติกาลาปากอส เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดกับระบบนิเวศวิทยา และสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติของเขตพื้นที่ในบริเวณหมู่เกาะฯให้มากที่สุด มีการจัดตารางของเรือทุกลำในการขึ้นชมเกาะแต่ละแห่ง เพื่อเป็นการควบคุมจำนวนคนที่แต่ละเกาะสามารถรองรับได้ในแต่ละวัน โดยการบริหารจัดการจะแบ่งการเยี่ยมชมเป็นกลุ่มคณะเล็กในจำนวนไม่เกิน16 คน และจัดมัคคุเทศก์ที่สื่อสารด้วยภาษากลางคือภาษาอังกฤษและภาษาสเปนในการนำชมทุกจุด ซึ่งเส้นทางการนำชมอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ของสภาพพื้นที่และสภาพอากาศในแต่ละวัน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทางอุทยานฯเกาะอิซาเบล่า (Isabela Island) ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของหมู่เกาะ ใช้เวลาล่องเรือเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในจำนวนของเกาะทั้งหมด นำท่านเยี่ยมชมโบราณสถาน ซึ่งถูกเรียกว่า “กำแพงแห่งน้ำตา“ (The Wall of Tears) สร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1945-1959 ในช่วงนั้นมีการใช้เกาะแห่งนี้เป็นเรือนจำของดินแดนในอาณานิคม นักโทษถูกบังคับให้สร้างกำแพงเรือนจำโดยเรียงหินทีละก้อน เป็นกำแพงสูงถึงกว่า 7.5 เมตร (25 ฟุต) จนทำให้นักโทษในเรือนจำหลายร้อยคนต้องเสียชีวิตจากความยากลำบากในการก่อสร้างกำแพงแห่งนี้ เดินทางต่อไปยังเขตพื้นที่ชุ่มน้ำ มีสภาพเป็นบึงหนองน้ำ และป่าชายเลน เป็นเขตที่อยู่อาศัยของสัตว์นานาชนิด เช่น นกฟลามิงโก้ (Flamenco) เป็ดหางแหลม (Pintail) นกกินหอย (Oystercatcher) ปูลมหรือปูผี (Ghost Crabs) และปูก้ามดาบ (Fiddler Crabs)เกาะบาโตโลมี (Bartolome Island) เกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะซานตาครูซ มีชื่อเสียงเรื่องแท่งหินปลายยอดแหลม ที่มองเห็นได้จากขอบของทะเล ซึ่งกลายเป็นภาพสัญลักษณ์ของเกาะแห่งนี้ บริเวณเกาะเป็นที่อาศัยของเหล่านกเพนกวินจำนวนมากมาย แหล่งท่องเที่ยวหลักบนเกาะคือ การเดินขึ้นไปชมจุดสูงสุดของยอดเขา ที่สูงประมาณ 600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล วิวที่เห็นจากมุมมองด้านบน สวยงามคุ้มค่าการเดินขึ้นไปชม เพราะท่านสามารถมองเห็นโค้งอ่าว และหมู่เกาะบริเวณใกล้เคียง และภูมิทัศน์ของหินภูเขาไฟที่คล้ายกรวยเป็นแท่งๆกระจายอยู่ ดูคล้ายพื้นผิวอันขรุขระของดวงจันทร์เกาะซานตา เฟ (Santa Fe Island) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของซานตาครูซ เป็นหนึ่งในเกาะที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในบรรดาหมู่เกาะกาลาปากอส บนชายหาดหลายแห่งบนเกาะแห่งนี้ มีประชากรสิงโตทะเลจำนวนมาก และยังมีเหยี่ยวที่สามารถพบเห็นได้บ่อยๆตามพุ่มไม้บนเกาะแห่งนี้ ตามเส้นทางเดินไปยังบริเวณหน้าผาของป่าพาโล ซันโต้ (Palo Santo Forest) มักพบเห็นอิกัวน่าทะเล พักอาศัยอยู่ใต้ร่มเงาของเหล่าต้นกระบองเพชรยักษ์เกาะพลาซ่า (Plazas Islands) เป็นเกาะขนาดเล็กที่มีหน้าผาสูงชัน ที่เกิดจากลาวาที่ผุดออกมาจากใต้พื้นมหาสมุทร ปัจจุบัน สภาพธรรมชาติของเกาะถูกปกคลุมต้นกระบองเพชร และต้นไม้ที่สามารถเปลี่ยนสีได้ในฤดูฝน เกาะแห่งนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสิงโตทะเลและอิกัวน่าบกอีกด้วยเกาะซานคริสโตบอล (San Cristobal Island) เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกไกลสุด และเป็น หนึ่งในเกาะที่มีความเก่าแก่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในหมู่เกาะกาลาปากอส ลักษณะพื้นที่ของเกาะ ทางทิศเหนือมียอดภูเขาไฟหลายยอด และทางทิศใต้การเพาะปลูกพืชบนสภาพพื้นที่ลาดชันส่วนใหญ่ เกาะนี้เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของกาลาปากอส ที่ชื่อ เปอร์โต้ บาเกริโซ่ โมเรโน่ (Puerto Baquerizo Moreno) ตั้งอยู่ตอนบนของอ่าวเร็กค์ (Wreck Bay) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ ที่นี่เป็นที่ตั้ง ของสนามบินหนึ่งในสองแห่งที่มีในกาลาปากอส สนามบินอีกแห่งตั้งอยู่บนเกาะบัลตร้า (Baltra Island) เกาะแห่งนี้เป็นเกาะแห่งเดียวที่มีแหล่งน้ำจืดแบบถาวร ที่ได้มาจากทะเลสาบเล็กๆแห่งหนึ่ง ชื่อ เอล จุงโก้ (El Junco Lake) บริเวณตอนบนของเกาะ การมีแหล่งน้ำจืดถาวรนี้ ทำให้เกาะซานคริสโตบอล เป็นเกาะที่มีผู้คนอาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคแรกๆของประวัติศาสตร์ดินแดนกาลาปากอส และเมื่อครั้งที่ ชาร์ลส์ ดาร์วิน เดินทางมากาลาปากอส ในปี ค.ศ. 1835 เขามาขึ้นบกที่เกาะซาน คริสโตบอลเป็นแห่งแรก เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์กลางการปกครองของหมู่เกาะกาลาปากอสทั้งหมดเกาะเซมัวร์เหนือ (North Seymour Island) สภาพพื้นที่บนเกาะแห่งนี้จะแบนราบกว่าเกาะอื่นๆ เป็นหนึ่งในหมู่เกาะที่เกิดจากการไหวตัวของผืนดินใต้ดินจนดันตัวเกิดขึ้นเป็นเกาะ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะบัลตร้า ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะเห็นนกบูบี้ตีนฟ้าทำรังอยู่บนพื้นที่ราบใกล้บริเวณชายฝั่งของเกาะหากเดินทางเข้าสู่ตอนในของเกาะ จะพบกับฝูงนกโจรสลัดตัวผู้พองถุงสีแดงเพื่อล่อตัวเมียซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยากเที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน (ทานบนเรือ หรือ ร้านอาหารท้องถิ่น)เย็น รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารจากนั้นเดินทางกลับไปยังโรงแรมที่พักค่ำ รับประทานอาหารค่ำและพักผ่อนที่โรงแรมHOTEL SOL Y MAR 4*, SANTA CRUZ ISLAND, GALAPAGOS --- หรือเทียบเท่า (15)
-
Day 16กาลาปากอส – กัวยากิว – อัมสเตอร์ดัม
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมนำท่านเดินทางไปยังสนามบินบอลต้า (Baltra Airport) เพื่อเดินทางไปยังเมืองกัวยากิว โดยสายการบิน AVIANCA เที่ยวบินที่ AV1635 (1330-1620) ใช้เวลาบิน 1.50 ชม.16.20 ถึงสนามบินเมืองกัวยากิว รอเปลี่ยนเครื่องบิน20.20 เดินทางกลับประเทศไทยโดยสายการบิน KLM เที่ยวบินที่ KL751 (2020-1340+1) แวะเปลี่ยนเครื่องที่อัมสเตอร์ดัม ใช้เวลาบิน 11.30 ชม.
-
Day 17อัมสเตอร์ดัม – กรุงเทพฯ
- 13.40 น. เดินทางถึงสนามบินสคิปโฮล อัมสเตอร์ดัม รอเปลี่ยนเครื่องบิน เชิญนั่งเลานจ์ของสายการบิน KLM หรือ อิสระช้อปปิ้งสินค้าปลอดภาษีภายในสนามบิน17.30 น. ออกเดินทางสู่ประเทศไทย โดย KLM เที่ยวบินที่ KL875 (1730 – 1005+1) ใช้เวลาบิน 11 ชม.
-
Day 18สนามบินสุวรรณภูมิ
- 10:05 น. เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ
Gallery